วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

วัยเรียน

        วัยเรียนเป็นวัยที่เริ่มเรียนหนังสืออย่างจริงจัง เวลาส่วนใหญ่จะอยู่นอกบ้าน โดยจะมีกรเข้าสังคมอย่างจริงจัง และเรียนรู้จากสิ่งรอบข้าง ศึกษาค่านิยมทางสังคมจากสิ่งรอบข้างอย่างจริงจัง โดยหัวข้อที่กลุ่มของดิฉันจะนำเสนอคือ วัยเรียนที่แบ่งเป็น 2 ตอนคือ วัยเรียนตอนต้น(วัยเด็ก) และ วัยเรียนตอนปลาย(วัยรุ่น) และมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
วัยเรียนตอนต้น (วัยเด็ก)
          เด็กวัยเรียนนี้เป็นวัยแห่งการเตรียมพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ถ้าเด็กได้รับสิ่งแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทุก ๆ ด้าน เด็กก็จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่หรือสิ่งแวดล้อมใหม่ได้อย่างราบรื่น เด็กในวัยนี้จะมีการเรียนรู้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นวัยที่เข้าโรงเรียน เด็กจะเริ่มเรียนรู้ในสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวก่อนแล้วจึงค่อยเป็นประสบการณ์ไปหาสิ่งแวดล้อมที่อยู่ไกลตัวออกไป สำหรับเด็กที่เริ่มเข้าเรียน จะสามารถเรียนรู้ได้ดี ถ้าทางโรงเรียนได้จัดสิ่งแวดล้อมโดยปล่อยให้เด็กได้มีการเคลื่อนไหว และเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆอยู่เสมอ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มหรือเสริมพัฒนาการทางปัญญาของเด็กเป็นอย่างมาก เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่ช่วยหรือก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากทดลอง ค้นคว้าสิ่งเหล่านี้ของเด็ก ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ภาพการ์ตูน สิ่งดังกล่าวนี้มี อิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาการของเด็กในด้านอารมณ์ ภาษาและสติปัญญา เด็กวัยเรียนนี้วุฒิภาวะทุกด้านกำลังงอกงามเกือบเต็มที่ ทำให้เด็กมีความสามารถเพิ่มขึ้นอีกหลายด้าน เป็นเพราะเด็กได้เรียนรู้กว้างขวางขึ้นในช่วงนี้ ทำให้เด็กสามารถที่จะคิดและแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวของตัวเอง             
        เด็กในวัยนี้จะเริ่มเรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น ชอบความตื่นเต้น พึงพอใจในสิ่งแปลกใหม่ จะหันเหไปสู่การเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน เช่น เรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อน ครู การเรียน การเล่นกับเพื่อน (Freud : Psychoanalytic Theory , Latency stage) เด็กจะใฝ่เรียนรู้และพยายามกระทำสิ่งต่างๆเพื่อให้เห็นว่าเขาสามารถทำได้หรือประสบความสำเร็จ อยากให้ผู้อื่นยอมรับในความสามารถของตนเอง (Erikson : ทฤษฎีจิตสังคม ขั้นที่ 4) ดังนั้น พ่อแม่ควรช่วยให้เด็กได้เกิดความรู้สึกว่าเขามีดี มีความสามารถ โดยการสนับสนุนให้เด็กได้ทำในสิ่งที่เขาชอบอย่างสุดความสามารถ หาจุดดี-จุดเด่นของตัวเด็กเพื่อชมเชย เป็นการบ่มเพาะความรู้สึกขยันหมั่นเพียรให้เกิดขึ้น เพราะความสามารถจริงของเด็กที่ปฏิบัติได้นั้น ยังต้องได้รับการส่งเสริมและช่วยเหลือจากผู้ใหญ่และสังคมในการช่วยให้เด็กมีศักยภาพสูงสุดที่เป็นไปได้ (Vygotsky : Cultural-Historical Theory , Zone of Proximal Development) แต่ถ้าไม่ได้รับการส่งเสริม หรือได้รับการส่งเสริมที่มากเกินความสามารถของเด็ก เด็กจะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไม่มีความสามารถ
พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่าเด็กในวัยนี้มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น สามารถคิดหาเหตุผล แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และสามารถเข้าใจกฏเกณฑ์ต่างๆได้ก็จริง แต่ก็มีข้อจำกัดว่าความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ก็จะต้องอยู่ในรูปธรรม เช่น การสอนให้เด็กทำความดี (นามธรรม) พ่อแม่จะต้องยกตัวอย่างให้อยู่ในรูปของพฤติกรรมที่เด็กสามารถปฎิบัติได้ เช่น การตั้งใจเรียน  เชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ เป็นการทำความดี (Piaget : Constructivist Theory ,Concrete operational stage)
        ทักษะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้จะเป็นลักษณะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ การประสานกันระหว่างมือกับสายตา เช่น การต่อบล็อก การเขียนหนังสือ จะเห็นได้ว่าเด็กวัยนี้เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมจากบ้านสู่โรงเรียน ดังนั้น ทักษะการเข้าสังคมในกลุ่มเพื่อน และทักษะทางภาษาเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง กระบวนการพัฒนาต่างๆจะเป็นในลักษณะของกระบวนการทางสังคมเข้ามาหล่อหลอมในตัวเด็ก เพราะวัยเด็กตอนปลายไม่ต้องการเล่นตามลำพังที่บ้านหรือทำสิ่งต่างๆร่วมกับสมาชิกของครอบครัวอีกต่อไป เพื่อนจึงเป็นบุคคลอันดับแรกๆที่เด็กจะเลือกปฏิบัติตาม ทั้งด้านการแต่งกาย ความคิด และพฤติกรรม เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพ่อแม่กับเพื่อนเด็กมักจะทำตามและให้ความสำคัญกับกลุ่มเพื่อนมากกว่า ซึ่งทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทักษะการเข้าสังคมหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ เช่น เด็กจะเรียนรู้ถึงการยอมรับและมีความรับผิดชอบ การมีน้ำใจนักกีฬา และการมีพฤติกรรมที่สังคมยอมรับ เพื่อเป็นรากฐานในการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไป
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะสามารถเห็นได้ว่า ช่วงอายุของเด็กในวัยเรียน 6-12 ปีนั้น ถือเป็นช่วงสำคัญของเด็กในการเรียนรู้ทักษะชีวิต และพัฒนาการต่างๆทางด้านสติปัญญา (higher cognitive functions) เป็นช่วงที่การทำงานของสมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและเต็มที่ ดังนั้นธรรมชาติและพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กในช่วงวัยเรียนจึงมีการเปลี่ยนแปลงและแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างเด่นชัดในแต่ละขวบปี ซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
อายุ 6 ปี
เด็กวัยนี้สามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งของได้ เช่น ความแตกต่างของลวดลายต่าง ๆ เข้าใจความหมายของหน้า-หลังและบน-ล่างของตัวเด็ก แต่ไม่เข้าใจระยะใกล้หรือไกลของสถานที่ เด็กวัยนี้ยังคิดถึงแต่เรื่องปัจจุบัน คิดถึงแต่เรื่องที่ตนเองพัวพันอยู่ด้วย มีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมค่อนข้างสั้น สนใจการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่จะไม่สนใจความสำเร็จของกิจกรรมนั้น ๆ เด็กจะกระตือรือร้นทำงานที่ตนเองสนใจ แต่เมื่อหมดความสนใจจะเลิกทำทันที โดยไม่สนใจว่างานนั้นจะสำเร็จหรือไม่
อายุ 7 ปี
เด็กวัยนี้จะมีความอยากรู้อยากเห็น สามารถจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ มีความสนใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ และจะพยายามทำให้สำเร็จ รู้จักชอบหรือไม่ชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ มีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมยังค่อนข้างสั้น จะสนใจสิ่งต่างๆทีละอย่าง ดังนั้น ถ้ามีงานหลายอย่างให้เด็กทำ ควรจะแบ่งหรือกำหนดให้เป็นส่วน ๆ ไม่ควรให้พร้อมกันทีเดียว เพราะจะทำให้เด็กเบื่อ
อายุ 8 ปี
เด็กวัยนี้จะมีความอยากรู้อยากเห็น สนใจซักถามมากขึ้น ชอบทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยทำมาก่อน มีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมนานขึ้น มีความสนใจที่จะทำงานให้สำเร็จ มีความพิถีพิถันและรับฟังคำแนะนำในการทำงานมากขึ้น สามารถเข้าใจคำชี้แจงง่าย ๆ มีความสนใจในการเล่นต่าง ๆ สามารถแสดงละครง่าย ๆ ได้ สนใจการวาดภาพ ดูภาพยนตร์ โทรทัศน์ การ์ตูน ฟังวิทยุ และชอบนิทาน สนใจในการสะสมสิ่งของ
อายุ 9 ปี
เด็กวัยนี้เป็นวัยที่รู้จักใช้เหตุผล สามารถตอบคำถามอย่างมีเหตุผล มีความรู้ในด้านภาษา และความรู้รอบตัวกว้างขึ้น ชอบอ่านหนังสือที่กล่าวถึงข้อเท็จจริง สามารถแก้ปัญหาและรู้จักหาเหตุผลโดยอาศัยการสังเกต ในวัยนี้ต้องการอิสรภาพเพิ่มขึ้น สนใจที่จะสะสมสิ่งของ และจะเลียนแบบการกระทำต่าง ๆ ของคนอื่น
อายุ 10 ปี
วัยนี้เป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนาเต็มที่ การเรียน การหาเหตุผล ความคิดและการแก้ปัญหาดีขึ้น สามารถตัดสินใจด้วยตนเอง และมีการไตร่ตรองก่อนตัดสินใจ ไม่ทำอย่างหุนหันพลันแล่น มีความคิดริเริ่ม เด็กชายชอบเรียนดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เด็กหญิงจะสนใจเกี่ยวกับการเรือน การสร้างมโนภาพเกี่ยวกับเวลา แม่นยำและกว้างขวางขึ้น ทำให้สามารถศึกษาประวัติศาสตร์สำคัญ วัน เดือนปี ได้ สามารถเข้าใจสิ่งต่าง ๆได้อย่างรวดเร็ว
อายุ 11-12 ปี
เด็กวัยนี้จะมีเพื่อนวัยเดียวกัน มีการเล่นเป็นกลุ่ม บางคนจะเริ่มแสดงความสนใจในเพศตรงข้าม สนใจกีฬาที่เล่นเป็นทีม กิจกรรมกลางแจ้ง สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก หนังสือ การ์ตูน จะมีลักษณะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ อาจกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ และชอบการวิพากษ์วิจารณ์ จะเห็นว่าความคิดเห็นของกลุ่มเพื่อนมีความสำคัญมากกว่าความคิดเห็นของผู้ใหญ่ และจะมีความกังวล เริ่มเอาใจใส่การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย  ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจและยอมรับในการเปลี่ยนแปลงของตนด้วย

ความรัก

         คำว่ารักสามารถหมายความถึงความรู้สึก สภาพทางอารมณ์และเจตคติต่าง ๆ ซึ่งอาจมีตั้งแต่ความพอใจทั่วไปจนถึงความดึงดูดระหว่างบุคคลอย่างรุนแรง แต่โดยเจาะจงแล้ว ความรักสามารถหมายถึงความต้องการอย่างเสน่หาและความสัมพันธ์ทางเพศ ซึ่งเป็นความหมายของความรักแบบโรแมนติก ความรักที่มีเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นความหมายของอีรอส (คำภาษากรีกหมายถึงความรัก) ความใกล้ชิดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นความหมายของความรักกับบุคคลในครอบครัว หรือรักบริสุทธิ์ที่นิยามมิตรภาพ หรือความรักแบบอุทิศตัวแบบในทางศาสนา ความหลากหลายของการใช้และความหมายของคำว่ารักนี้ ประกอบกับความรู้สึกอันซับซ้อนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เป็นการยากที่จะนิยามความรักให้แน่นอน แม้จะเทียบกับสภาพอารมณ์อื่น ๆ แล้วก็ตาม
          2.2.2 ความรักคืออะไร นั้นรู้สึกว่าจะหาคำตอบได้ไม่ง่ายนัก เท่าที่เราทราบกันดีก็คือ ทุกคนเคยรัก และถูกรักมาทั้งนั้น ชีวิตของมนุษย์จึงมีบทบาทอยู่กับความรักตั้งแต่เกิดจนตาย เด็กที่เกิดใหม่ ๆ ยังรักใครไม่เป็น แต่เขาก็ถูกความรักเข้าช่วยเหลือ โดยการถูกรักจากพ่อแม่และญาติพี่น้องจึงทำให้อยู่รอดเติบโตขึ้นมาได้ เหตุนี้เองจึงมีคำกล่าวว่า “ความรักนี้แหละที่ทำให้โลกหมุนอยู่ได้”
              2.2.3 ตามหลักจิตวิทยา ความรักคืออารมณ์อย่างหนึ่ง อันหมายถึงความรู้สึกของคนเราที่มีอำนาจแรงพอทำให้คนแสดงจริตกริยาออกมา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายให้เห็น ดังนั้นเมื่อคนเราเกิดมีความรักขึ้นแล้วก็จะแสดงจริตกริยาออกมา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายให้เห็นดังนั้นเมื่อคนเราเกิดมีความรักขึ้นแล้วก็แสดงอาการรักออกมา อันยากแก่การปกปิดซ่อนเร้น ซึ่งเราคงทราบกันดี และเคยประสบกับตัวของเราเองกันมาแล้ว เช่น ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก จะเห็นว่าพ่อแม่แสดงอาการว่ารักลูกมากมาย ในการเลี้ยงดูเอาใจใส่ และเสียสละหรือความรักหนุ่มสาวก็เป็นกรณีที่เราเห็นอยู่เป็นประจำวันในสังคม ลงเขาได้รักกันเกิดความรักขึ้นมา ต่อให้มีอุปสรรคกีดขวางอย่างไรก็จะพยายามดิ้นรนไปสู่ความปรารถนาของอารมณ์รักจนได้
              กล่าวตามธรรมดาแล้ว ความรัก หรือ รัก นี้ จัดเป็นอารมณ์ประเภทสุข เพราะเมื่อใครเกิดอารมณ์รักแล้ว เขาจะมีใจเบิกบานร่าเริงแจ่มใส เป็นความรู้สึกสุขใจที่ดี ฉะนั้นทุกคนจึงต่างแสวงหาที่จะรักคนอื่น และในขณะเดียวกันก็มีความต้องการให้ตนเองเป็นที่รักของคนอื่นด้วยหน้าที่ ของครูในโรงเรียนนั้นเมื่อวกเข้ามาในเรื่องรักแล้ว ครูจะต้องพยายามทำตัวให้เป็นที่รักของเด็ก และคณะเดียวกันครูก็จะต้องรักเด็กทุก ๆ คนที่ครูสอน การสั่งสอนอบรมกันด้วยมีความรักเป็นทุนหนุนหลังอย่างนี้ จะช่วยให้การศึกษาสำเร็จด้วยดี
              อธิบายได้ว่า ทุกคนจะรักในสิ่งที่ดี อะไรดีจะเป็นที่รักของคนทั้งสิ้น ดังนั้นทุกคนจึงอยากได้ของที่ดี ๆ มีของใช้ดี ๆ มีลูกดี ๆ มีของกินดี ๆ สิ่งที่เน่า ๆ เหม็น ๆ ทุกคนจึงไม่รัก ข้อที่ ๒ คือ เราจะรักในสิ่งที่งาม คำว่างามก็คือ สวย นี่เอง ฉะนั้นของที่งาม ๆ สวย ๆ จึงเป็นที่สบอารมณ์รักของเราเสมอ เช่น รักของใช้ที่สวยงาม มีลวดลายงดงาม รักในศิลปอ่อนช้อยรักในสิ่งประดิษฐ์มีสีสรร สรุปว่า อะไรที่สวยแล้วจะเป็นที่รักทั้งสิ้น ส่วนข้อสุดท้ายที่ว่า เรารักเพราะถูกใจ นั้น จัดเป็นความรักส่วนตัวเฉพาะคน เมื่อมีความถูกใจแล้วรักแน่ ๆ ของนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ดังนั้นบางคนก็ว่าสิ่งนั้นไม่ดี ไม่งาม ไม่น่ารัก แต่อีกคนหนึ่งรักก็เนื่องจากว่า สิ่งนั้นเป็นที่ถูกใจของเขา เหตุนี้เองคนรูปชั่วตัวดำ ซึ่งพูดกันธรรมดา ๆ แล้ว ย่อมไม่ดีไม่งาม แต่ก็ยังเป็นที่รักของคนบางคนอยู่จนได้ ด้วยเหตุผลข้อนี้เอง คือ เพราะถูกใจ เช่นกับว่า ถึงแม้จะดำก็ดำขำ ถึงปากจะแหว่งก็แหว่งอย่างมีเสน่ห์ เป็นต้น
              ฉะนั้น ดี งาม ถูกใจ จึงนับได้ว่าเป็นต้นตอของความรักโดยแท้ ท่านลองสำรวจสิ่งที่ท่านรักเดี๋ยวนี้บ้างก็ได้ว่า ที่ท่านรักสิ่งนั้นเพราะอะไร ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่หนีจากรัก เพราะว่าดี  รักเพราะว่างาม และสุดท้าย รักเพราะถูกใจ เป็นแน่
                    ความรัก : เป็นความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional Attachment) ที่แสดงใน 3 ด้าน คือ ด้านความรู้สึก ความคิด และการกระทำ
                    ความรู้สึก : รู้สึกรัก ชอบ รู้สึกเป็นสุขที่ได้อยู่ใกล้ ทำให้ใจเต้น มองเห็นโลกเป็นสีชมพู
                    ความคิด : การมองผู้ที่ตนรักในแง่ดี มองเห็นคุณค่าและความหมายของเขา อยากทำสิ่งที่ดีให้ และอยากให้เขาพบแต่ความสุข
                    การกระทำ : การปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน การดูแลเอาใจใส่ การสัมผัส กอดจูบ และมีเพศสัมพันธ์

               ปัญหาที่พบบ่อย คือ คนจำนวนมากไม่ได้มองความรักในภาพรวม แต่มองเพียงด้านเดียว (ผู้ชายบางคน ก็อาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ว่าพอลืมวันเกิดแฟนแค่ครั้งเดียว ก็เกิดอาการงอน น้อยใจ หรือร้องห่มร้องไห้ปานโลกจะถล่มทลายว่าเขาไม่รักแล้ว ทั้ง ๆ ที่ความรักก็ยังมีเท่าเดิม ยังพาไปกินข้าว ดูหนัง รับส่งเหมือนเดิมเพียงแต่ลืมวันเกิดเพราะทำงานหนักไปหน่อยเท่านั้นเอง) ความรักจะต้องแสดงออกมาทางกระทำด้วย หากสามีพูดว่า ตนรักภรรยามาก แต่ไม่เคยแสดงน้ำใจหรือช่วยเหลืองานบ้านเลย (กลับมาถึงก็นอนอืด ถุงเท้าไปทาง รองเท้าไปทาง เสื้อกาวน์อีกทาง ตะโกนให้คุณภรรยาสุดที่รักมาเสิร์ฟน้ำต่อด้วยนี่ ต่อให้คุณพี่รักหนูแค่ไหน หนูก็คงไม่เชื่อแน่ ๆ) ความรักที่ไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลย ไม่เคยบอกรัก ไม่เคยพูดหวาน ไม่เคยเลี้ยงข้าว (มาถึงก็ให้เราจ่ายเองตลอด) ไม่เคยให้อะไรดี ๆ ในวันวาเลนไทน์ ไม่เคยมอบดอกไม้หรือของขวัญให้ ก็อาจทำให้คู่ของเราไม่มั่นคงได้ และในที่สุดก็ต้องผิดหวัง
               อย่างไรก็ตาม มนุษย์บางประเภทอาจมีข้อจำกัดในการแสดงออกซึ่งความรัก เช่น ถูกเลี้ยงดูมาว่า ไม่ให้บอกรักผู้ชายก่อน...มันไม่ดีอย่าถูกเนื้อต้องตัวกันโดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน....มันไม่งาม ในกรณีนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเข้าใจในข้อจำกัดนั้น
2.2.4 องค์ประกอบของความรัก
              มีผู้อธิบายองค์ประกอบของความรักไว้หลายอย่าง Sternberg (1986) กล่าวว่า ความรักมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ ความใกล้ชิดผูกพัน (Intimacy) การอุทิศตัวต่อกัน (Commitment) และอารมณ์รัก (Passion) องค์ประกอบดังกล่าวเปรียบเสมือนมุมทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า อันเป็นตัวกำหนดรูปแบบของความรัก 7 ชนิด ได้แก่
                   1. เฉย (nonlove) เป็นความรู้สึกของคนทั่วไปในสังคมที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
                   2. ชอบ (Liking) หมายถึง ความรู้สึกใกล้ชิดผูกพัน ต่ออีกบุคคลหนึ่ง แต่ปราศจากความหลงใหล หรือข้อผูกมัด
                   3. รักแรกพบ (Infatuated Love) เกี่ยวข้องกับความรู้สึกหลงใหล แต่ปราศจากความผูกพันหรือข้อผูกมัด
                   4. หมดรัก (Empty Love) เกิดจากการตัดสินใจผูกมัดที่ปราศจากความผูกพัน และความหลงใหล พบได้ในคู่รักที่คบกันมาสักระยะจนความรู้สึกถูกใจในรูปร่างหน้าตาเริ่มหมดไป
                   5. รักโรแมนติก (Romantic Love) ประกอบด้วยความหลงใหล ผูกพัน โดยปราศจากข้อผูกมัด
                   6. Fatuous Love เป็นความรักที่มีข้อผูกมัด และความรู้สึกหลงใหล แต่ปราศจากความผูกพัน
                   7. Consummate Love เป็นความรักที่มีองค์ประกอบครบทั้งสามด้าน คือทั้งความหลงใหล ข้อผูกมัด
และความใกล้ชิดผูกพัน โดยสรุปแล้วองค์ประกอบของความรัก ที่สำคัญ มีดังนี้
        1. การอุทิศตนต่อกัน
        2. ความผูกพัน
        3. ความสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง
        4. การมองเห็นคุณค่าและส่วนที่ดีของอีกฝ่ายหนึ่ง
        5. ความอดทน
        6. การให้อภัย
        7. อารมณ์รัก

1. การอุทิศตนต่อกัน
            องค์ประกอบที่สำคัญของความรักคือ การอุทิศตนต่อกัน (Commitment) ความรักจะคงที่และงอกงามไม่ได้หากปราศจากการอุทิศตนต่อกัน การอุทิศตนจะช่วยให้ความสัมพันธ์ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง แม้จะมีความทุกข์ ความขัดแย้ง หรือความผิดหวังเกิดขึ้น คู่รักที่อุทิศตนต่อกันจะยอมอดทนต่อความยากลำบากที่เกิดขึ้นและช่วยกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ดี
การอุทิศตน ประกอบด้วยพฤติกรรมสำคัญ 2 ประการ คือ
           1. ความรับผิดชอบ (Responsibility) ชีวิตคู่เป็นความรับผิดชอบของคนสองคน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง คู่รักจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลรักษาชีวิตคู่เอาไว้ นั่นหมายความว่า ทั้งคู่ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี และหากความสัมพันธ์มีปัญหา ทั้งคู่ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่โยนความผิดให้อีกคนหนึ่ง
           2. การปกป้องความสัมพันธ์ให้ปลอดภัย (Protectiveness) ชีวิตคู่เป็นระบบย่อยที่อยู่ในระบบใหญ่แห่งครอบครัว ชุมชน และสังคม ดังนั้นจะมีระบบอื่น ๆ ที่มากระทบชีวิตคู่ได้เสมอ เช่น ระบบของลูก เครือญาติ ที่ทำงาน ฯลฯ คู่สมรสหรือคู่รักต้องพยายามรักษาชีวิตคู่ให้ปลอดภัยและมั่นคง โดยการสร้างขอบเขต (Boundary) ที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้ระบบอื่นเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ดังกล่าว
           การอุทิศตน เป็นภารกิจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงต่อเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นที่รักของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละฝ่ายจะต้องเชื่อมั่นในการอุทิศตนและความซื่อสัตย์ของอีกฝ่าย ทั้งต้องมั่นคงในการอุทิศตนของตนเองด้วย
2. ความผูกพัน
           ความผูกพัน (Attachment หรือ Affective Involvement) หมายถึงระดับความรู้สึกห่วงใยที่บุคคลมีต่อกัน รวมทั้งความสนใจและการเห็นคุณค่าของกันและกัน ความผูกพันที่ไม่เหมาะสมในคู่รักอาจเป็นแบบใดแบบหนึ่งดังนี้ (Epstein, Bishop และ Baldwin 1982)
           1. ผูกพันจนเหมือนเป็นบุคคลเดียวกัน (Symbiotic Involvement) เป็นความผูกพันที่แน่นแฟ้นจนทั้งคู่เหมือนเป็นบุคคลเดียวกันและไม่มีขอบเขตส่วนตัวเลย
           2. ผูกพันมากเกินไป (Over Involvement) ความผูกพันเป็นไปอย่างปกป้อง หรือจุ้นจ้านมากเกินไป และอีกฝ่ายหนึ่งมีความเป็นส่วนตัวหรือเป็นตัวของตัวเองน้อยมาก
           3. ผูกพันเพื่อตนเอง (Narcissistic Involvement) ความสนใจในอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เป็นไปอย่างจริงใจ แต่เป็นไปเพื่อตนเอง (Egocentric) และเพื่อเสริมสร้างคุณค่าให้ตนเอง
           4. ผูกพันโดยปราศจากความรู้สึก (Involvement Devoid of Feeling) คู่สมรสไม่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์และความห่วงใยด้วยน้ำใสใจจริง ความสนใจที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่งเป็นไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น อยากควบคุมหรือเป็นไปตามหน้าที่ เช่น สามีที่มีภรรยาน้อย แต่ต้องมาแสดงความห่วงใยภรรยาหลวงยามเจ็บไข้ เป็นต้น
           5. ปราศจากความผูกพัน (Lack of Involvement) คู่สมรสหรือคู่รักไม่มีความสนใจใยดีกันเลย เป็นแบบต่างคนต่างอยู่ ชีวิตคู่มีความหมายเพียงการมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเท่านั้น
           ความผูกพันที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวนี้ ทำให้คู่สมรสขาดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และความรู้สึกที่จะพึ่งพิงกันได้ในยามจำเป็น นอกจากนี้ยังทำให้ไม่สามารถร่วมมือกันทำภารกิจที่สำคัญให้ลุล่วงไปได้ ตัวอย่างเช่น สามีภรรยาที่ไม่มีความผูกพันใกล้ชิดกันย่อมไม่สามารถปกครองลูกได้ เป็นต้น
           ความผูกพันที่เหมาะสมคือ ความผูกพันอย่างมีความเข้าใจ (Empathic Involvement) นั่นคือ มีความสนใจและผูกพันต่ออีกฝ่ายหนึ่งอย่างแท้จริง โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจในความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง ความผูกพันแบบนี้ทำให้คู่สมรสตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างเหมาะสม
ความผูกพันจะต่างกันในวงจรชีวิตแต่ละระยะ โดยจะสูงสุดในระยะที่เพิ่งรักกันใหม่ ๆ หรือแต่งงาน และลดลงในระยะที่ลูกเข้าวัยรุ่น หลังจากนั้นจะสูงขึ้นอีกเมื่อลูกโตและแยกจากครอบครัวไป
           ความสมดุลระหว่างความผูกพันและความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ และจะแตกต่างกันไปในแต่ละคู่ สามีภรรยาอาจมีความต้องการแตกต่างกัน เช่น สามีต้องการความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ภรรยาต้องการความผูกพันมาก ดังนั้น คู่สมรสหรือคู่รักต้องตระหนักถึงความแตกต่างนี้และพยายามทำให้ความผูกพันที่มีต่อกันเป็นไปอย่างเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละฝ่าย หากความผูกพันเป็นไปอย่างเหมาะสมก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ เช่น ภรรยาเข้ามาผูกพันใกล้ชิดกับสามีมากเกินไป มาคอยดูแลเอาใจใส่มากจนสามีรู้สึกอึดอัด สามีก็อาจต้องพยายามหาทางสร้างระยะห่างด้วยวิธีต่างๆ เช่น กลับบ้านค่ำ ทำงานพิเศษ หรือไปมีผู้หญิงคนใหม่ เป็นต้น
           ในชีวิตของบุคคลจะมีความผูกพันกับคนหลายคน นอกจากกับคู่ของตนแล้ว ยังมีความผูกพันกับลูก พ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงอีกด้วย แต่ต้องระวังไม่ให้ความผูกพันกับบุคคลอื่นในระบบภายนอกนั้นมากเกินว่าความผูกพันที่มีต่อครอบครัวปัจจุบัน เพราะจะทำให้ครอบครัวปัจจุบันเกิดปัญหาได้
           การที่บุคคลมีความผูกพันกับคู่ของตนเองมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น อาจเกิดการพึ่งพิงอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป มีความคาดหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเข้าใจตน มีคำตอบให้ตนทุกอย่าง หรือแก้ไขปัญหาให้ตนได้เสมอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ ความคาดหวังนี้จะทำให้เกิดความรู้สึกผิดหวัง และอีกฝ่ายหนึ่งจะเกิดความรู้สึกว่าตนปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
           การมีความผูกพันที่เหมาะสมโดยมีความเป็นตัวของตัวเองเพียงพอจะทำให้ทั้งคู่ไม่มีปฏิกิริยาต่อกันมากเกินไป ทั้งสองฝ่ายจะสื่อสารกัน เปิดเผยความรู้สึกนึกคิดต่อกันได้อย่างอิสระ และจะสามารถประคับประคองต่อกันได้ดี
3. ความสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง
           ความสนิทสนมอย่างลึกซึ้ง (Intimacy) หมายถึง ความรู้สึก ใกล้ชิด เชื่อมโยงผูกพัน และห่วงใยในสวัสดิภาพของอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งมีความสุข มีความเข้าใจกัน แบ่งปันซึ่งกันและกัน พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด ให้การประคับประคองทางอารมณ์แก่กัน เห็นแก่คุณค่าของกันและไว้วางใจซึ่งกันและกัน
Intimacy เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในชีวิตสมรส เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่อดทนและฝ่าฟันอุปสรรคไปได้          
          การเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ต่างยกโทษให้กันได้และร่วมมือกันแก้ปัญหา แทนที่จะโกรธหรือทะเลาะกัน ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและการเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดต่อกันอย่างอิสระ
          การร่วมรับรู้ในความสุข คู่รักต้องสามารถให้ความสุขกับอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร การมีความสนุกสนานร่วมกัน แบ่งปันความสุขและความรู้สึกดี ๆ ให้กัน
          การร่วมรับรู้ในความทุกข์ ความรู้สึกเชิงลบหลายอย่าง เช่น ความโกรธ เศร้าเสียใจ ขมขื่น เจ็บปวด รู้สึกผิด ฯลฯ
          การร่วมรับรู้ในความรู้สึกเชิงลบของอีกฝ่ายหนึ่ง จะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปด้วยดี มีความรักใคร่ผูกพันกัน และเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น

4. การมองเห็นคุณค่าและส่วนที่ดีของอีกฝ่ายหนึ่ง
          คู่รักจะต้องมองเห็นคุณค่า ความหมาย และสิ่งดีในกันและกัน ซึ่งการมองเห็นคุณค่าและส่วนดีของอีกฝ่ายหนึ่งอาจทำได้โดยแสดงความขอบคุณในสิ่งดีที่อีกฝ่ายหนึ่งทำให้ การแสดงออกซึ่งความรัก เช่นการสัมผัส การโอบกอด รวมทั้งคำพูดว่า  "ผมรักคุณ"
5. ความอดทน
          ความอดทนเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงวุฒิภาวะ (Maturity) ความรักที่เติบโตถึงวุฒิภาวะจะต้องมีความอดทนและความหนักแน่น ความอดทนจะทำให้คู่รักจัดการกับความขัดแย้ง ความผิดหวัง และความขมขื่นได้อย่างเหมาะสม ความอดทนจะทำให้คู่รักโต้ตอบกันช้าลง ใช้เวลาใคร่ครวญก่อนว่าปฏิกิริยาที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร และหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความอดทนจะต้องประกอบด้วยความรักและการให้อภัย ไม่ใช่อดทนแบบเก็บกดความโกรธไว้ ความอดทนแบบแรกจะนำมาซึ่งความสงบใจ แต่แบบหลังจะนำมาซึ่งความรุ่มร้อนใจ ความโกรธและการพยายามแก้แค้น
6. การให้อภัย
          ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ ฝ่ายหนึ่งอาจทำให้อีกฝ่ายหนึ่งโกรธ เสียใจ และรู้สึกเจ็บปวดได้บ่อย ๆ หากไม่มีการให้อภัยซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดความขมขื่นที่ฝังลึกและกัดกร่อนความสัมพันธ์ให้พังทลายลงได้ และฝ่ายที่เจ็บปวดต้องทำความเข้าใจเหตุผลและข้อจำกัดของฝ่ายแรก พร้อมที่จะให้อภัยและให้โอกาสฝ่ายแรกในการเริ่มต้นใหม่ การยกโทษและคืนดีกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น
7. อารมณ์รัก

          อารมณ์รัก (Passion) คือ ความปรารถนา ที่ดึงดูดหญิงชายเข้าหากัน อารมณ์รักแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกโรแมนติก ความต้องการใกล้ชิดด้านกายภาพ กอด จูบ จับมือ รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ ในระยะเริ่มต้น อารมณ์รักมักจะรุนแรงมาก และจะค่อยลดความรุนแรงลงเรื่อย ๆ (อย่างที่พ่อบ้านบางคนบอกว่าน้ำพริกถ้วยเก่า จืดจาง ต้องออกไปหาอารมณ์รักกับสาวน้อยหน้าใหม่ ใสๆ) สำหรับผู้ชาย การแสดงออกซึ่งความรักจะเกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศเป็นอย่างมาก แต่ผู้หญิงมักถือว่า การแสดงออกซึ่งความรักและความห่วงใยนั้นมีความสำคัญกว่าการมีเพศสัมพันธ์

ประโยชน์ของการมีความรักในวัยเรียน

         การที่เราได้รับประสบการณ์ในการมีความรักและที่สำคัญที่สุดคือ การรักพ่อแม่ที่คอยห่วงใยคอยดูความสำเร็จของเราอยู่เราก็ควรที่จะตอบสนองเพื่อไม่ให้ท่านเสียใจเพราะท่านเป็นคนเลี้ยงดูเรา ส่งให้เราเรียนหนังสือพ่อกับแม่เคยพูดว่า แค่เรียนจบก็ดีใจแล้วเมื่อเรามีเพื่อนเราก็รักเพื่อน ช่วยเหลือกันและเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เราจะได้ไม่เหงาเพราะมีเพื่อนๆ
ข้อดีของความรัก ก็คือ 
1. ความรักนำมาซึ่งความสุขของคนที่รักและคนที่ถูกรัก ยินดีที่จะปฏิบัติต่อกันด้วยความอ่อนโยน ห่วงใย ใส่ใจกัน 
2.ทำให้คนเห็นแก่ตัวน้อยลงแต่เห็นแก่คนอื่นเพิ่มมากขึ้น เผื่อแผ่ถึงสังคมแวดล้อม 
3.ความรักยังเป็นพลังหรือแรงบรรดาลใจให้ใครบางคนสร้างสรรค์สิ่งดีๆเพื่อจรรโลงสังคม เช่น การดูแลสุนัขจรจัด 
4. ความรักเป็นพลังมหาศาล ให้คนต่างครอบครัว ต่างเชื้อชาติศาสนา ต่างความคิดและอุดมคติ อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข 
5. ความรักลดความกระด้างของจิตใจ และทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น
ความรักในวัยเรียน สำหรับฉันแล้ว ฉันว่ามันยังไม่จำเป็นซักเท่าไร แต่ถ้ามีก็ไม่ผิด เพราะวัยนี้เป็นวัยที่อยากรู้อยากลองอยู่แล้ว แต่ก็ควรรักให้ถูกให้เหมาะสม ต้องไม่ให้เสียการเรียน ไม่ใช่ว่าเวลาทุกนาทีต้องให้แฟนหมด ถ้ารักแบบนั้น ฉันว่าอย่ารักกันเลยจะดีกว่าปัญหาในสังคมไทยตอนนี้เราจะเห็นว่ามีคนฆ่าตัวตาย หรือมีการฆาตกรรมกันมาก สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากความรัก รักแล้วไม่สมหวังเกิดการเครียดแค้น และส่วนมากจะอยู่ในวัยของนักศึกษาคนเราควรจะรักให้เป็น ถ้ารักไม่เป็นก็อาจนำมาซึ่งการสูญเสียได้

โทษของการมีความรักในวัยเรียน

หากรักในทางทีผิดก้จะทำให้เสียการเรียน หรือไม่ก็อาจทำให้พ่อแม่เสียใจทำให้เราเสียอนาคตก็ได้บางทีการที่เรามีความรักในวัยเรียนก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยสำหรับเราเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นแต่เมื่อโตแล้วก็จะเป็นความรักที่แท้จริง สามารถศึกษาซึ่งกันและกันได้แต่ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ…การเรียน การทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเรามากที่สุดเมื่อเราตั้งอนาคตไว้ตรงจุดไหนเราก็ควรที่จะไปให้ถึงเมื่อเราทะเลาะกัน มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีไม่มีความสุขเพราะต้องนึกถึงแต่เรื่องของเพื่อนที่ทะเลาะกันเราไม่จำเป็นต้องมีความรักในวัยเรียนตามยุคตามสมัยโดยเฉพาะความรักของหนุ่มสาวสิ่งที่เราควรรักก็คือ…ความขยันในการเรียนและรักพ่อแม่มากกว่า

ข้อเสีย
1. ปัญหาต่อการเรียน เพราะจะทำให้ขาดสมาธิในการเรียน มีการทะเลาะเบาะแว้ง การงอนง้อกันบ่อย ทำให้เวลาที่ทุ่มเทกับการเรียนลดลง รวมถึงสมาธิในการเรียนไม่ดีด้วย แต่อาจจะเข้าห้องสมุดบ่อยขึ้น ถ้าได้คู่รักที่ดี
2. ปัญหาต่อครอบครัวทั้งที่เป็นทางตรงและทางอ้อม(ซึ่งอาจมองไม่เห็น แต่เกิดขึ้นจริง) ทางตรง เช่น ทางบ้านอาจไม่สนับสนุนกับการมีแฟนในวัยเรียน ทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ปัญหาเรื่องของการมีลูกในวัยเรียน หรือปัญหาจากการเรียนที่ตกต่ำทำให้พ่อแม่เสียใจ เป็นต้น ทางอ้อม เช่น เวลาใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ลดลง เพราะใช้ชีวิตกับแฟนมากขึ้น และ "บางคู่"ทำให้การดูแลแฟนมากกว่าการดูแลพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่คงจะเสียใจไม่น้อย มีการใช้เงินทองไปกับแฟนบ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นเงินที่มาจากหยาดเหงื่อของพ่อแม่ เช่น บางทีเลี้ยงแฟน แต่ไม่เคยเลี้ยงพ่อแม่ แม้ว่าจะเป็นเงินของท่านเองก็ตาม
3. ปัญหาต่อเพื่อน เท่าที่สังเกตนั้น สองปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่อยู่ร่วมกันได้ยากมาก เช่น... การที่เราจะไปกินข้าวกับเพื่อน หรือเลือกไปกินข้าวกับแฟน อีกฝ่ายล้วนมีความรู้สึกที่แปลกๆต่อเราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ทิ้งเพื่อนไปกับแฟน หรือ สนใจเพื่อนมากกว่าเรา รวมถึงตัวเองอาจจะคิดว่า..เดี่ยวเพื่อนจะงอน เดี่ยงแฟนจะงอน ล้วนแต่เกิดปัญหาทั้งสิ้น รวมถึงเพื่อนอาจจะไม่ชวนเราไปไหน เพราะคิดว่าเราจะไปกับแฟน..แต่แท้จริงแล้วเราอาจไปคนเดียว
สุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนตระหนักไว้ว่า “เวลาเรียนหนังสือก็ควรพึงเรียนหนังสือ เวลาทำงานก็ควรพึงทำงาน เวลาใดทำอะไรก็ควรพึงจะทำสิ่งนั้น จะหาแฟนสักคนก็ต้องให้ตนนั้นตั้งตัวเองให้ได้ก่อน จึงจะไปเลี้ยงแฟนของตนได้ ไม่งั้นเรือก็ต้องล่มไปในที่สุด

สถิติเกี่ยวกับความรักในวัยเรียน

การมีรักในวัยเรียน ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะไม่ว่ายุคไหน ใครๆ ต่างก็มีความรักกันทั้งนั้น แต่การมีความรักที่เกินขอบเขต ขาดการยับยั้งชั่งใจ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์จนทำให้ตั้งครรภ์ในวัยเรียน นับเป็นปัญหาทั้งด้านการเรียน ครอบครัว และสังคม ซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่วัยเรียนเป็นวัยที่ยังไม่มีความพร้อม และมีการทำสถิติกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมามากมาย และกลุ่มดิฉันได้ยกมาเป็นตัวอย่างไห้ศึกษาดังนี้



ปัญหาหลักของการตั้งครรภ์ไม่พร้อมมาจากการมีความรักของวัยรุ่น อันนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ข้อมูลจากการสำรวจสภาวะสังคม และวัฒนธรรมของครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกทางเพศและการมีเพศสัมพันธ์ ตลอดจนค่านิยมของวัยรุ่นในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป โดยประชากรอายุ 13 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มยอมรับกับการมีเพศสัมพันธ์ของผู้หญิงก่อนวัยอันควรหรือก่อนแต่งงานเพิ่มขึ้นมากคือ จากร้อยละ 19.0 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 27.9 ในปี 2554 หรือประมาณ 1 ใน 4 เลยทีเดียว ขณะเดียวกันก็ยอมรับการอยู่ด้วยกันโดยไม่แต่งงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากร้อยละ 26.8 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 34.6 ในปี 2554
นอกจากนี้การยอมรับเกี่ยวกับการแสดงออกทางเพศอย่างเปิดเผยก็เพิ่มขึ้นเช่นกันจากร้อยละ 6.5 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 8.8 ในปี 2554 ขณะที่ยอมรับการใส่เสื้อสายเดี่ยว เกาะอก นุ่งกางเกงเอวต่ำขาสั้นมากเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.1 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 26.6 ในปี 2554


 ความคิดเห็นต่อพฤติกรรม
จากความคิดเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวข้างต้น น่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้มีผู้หญิงวัย 15-19 ปี ที่ตั้งครรภ์และคลอดบุตรเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2548 มีการตั้งครรภ์และการคลอด 123,446 คน เพิ่มขึ้นเป็น 132,147 คน ในปี 2553 ทั้งนี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะมีโรคแทรกซ้อนระหว่างการคลอด เพราะร่างกายยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ รวมทั้ง มีโอกาสเสี่ยงต่อการตายของทารกอีกด้วย

ความคิดเห็นต่อพฤติกรรม
ความคิดเห็นเหล่านี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมยุคใหม่ ยิ่งเห็นแนวโน้มตั้งครรภ์ในวัยเรียนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ อาจเพราะมีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ เพียงแค่คิดสั้นๆ ว่านี่เป็นการมอบความรักให้แก่กันในวันสำคัญ หารู้ไม่ว่าปัญหาที่ตามมานั้นมีมากมายเพียงใด ฉะนั้นผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจในพฤติกรรมของวัยรุ่น พร้อมทั้งให้ความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่ เพื่อให้เขาสามารถพัฒนาตนเองไปในทางที่ถูกที่ควร จนโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและเป็นอนาคตของชาติต่อไป....

วิธีรักยังไงไห้เป็นเมื่ออยู่ในวัยเรียน

          พ่อแม่หลายคนเลี้ยงลูกมาก็เฝ้าถนอมเขาตั้งแต่ยังเล็ก แต่เมื่อเขาเติบโตเข้าสู่วัยเรียนและกระทั่งเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น พ่อแม่อาจจะหนักใจกันอยู่ไม่น้อยเพราะพวกเขาเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความรักและชอบคบเพื่อนมากหน้าหลายตา หากคบเพื่อนดีก็ดีไป เช่นกัน หากว่าเขามีความรักและได้เจอคนรักที่ดีก็ไม่น่าห่วงเท่าใดนัก แต่หากดันไปรักกับคนไม่ดี พากันทำเรื่องเสียหายแบบนี้หัวอกพ่อแม่คงต้องกลุ้มไม่น้อยเป็นแน่ ดังนั้น วัยรุ่นทั้งหลายหากอยากมีความรักในวัยเรียนก็ต้องรู้จักวางตัวกันอย่างเหมาะสมนะคะ ว่าแต่จะวางตัวอย่างไรบ้างล่ะ วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝากกันแล้วสำหรับวัยรุ่นที่มีความรักจะรักอย่างไรไม่ให้กระทบการเรียน มาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ
1.รักแบบพอดีอยู่ในขอบเขตเหมาะสม
เพราะวัยรุ่นอยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อบางทีใครห้ามอะไรก็ไม่ฟัง หนำซ้ำเรื่องที่ห้ามกลับกลายเป็นยิ่งยุ โดยเฉพาะเรื่องราวความรัก ดังนั้น วัยรุ่นยุคใหม่จึงน่าเป็นห่วงในเรื่องนี้อย่างมาก ผู้ใหญ่จึงต้องหมั่นคอยตักเตือนดูแลพวกเขาอย่างใกล้ชิดและควรแนะนำให้พวกเขามีความรักกันได้ โดยวางตัวในกรอบในขอบเขตของความพอดี ไม่ทำอะไรที่เลยเถิดเกินความเหมาะสม มิเช่นนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการเรียนได้
2. เป็นกำลังใจให้กันได้ทุกเรื่อง
ความรักสำหรับวัยรุ่นมักจะมีพลังมหาศาลเสมอ เด็กในวัยนี้มักจะไม่เชื่อฟังใคร เอาแต่ใจตนเองและมั่นใจตัวเองเป็นหลัก อยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่คาดคิดถึงผลกระทบตามหลัง แต่หากให้ดีเพื่อไม่ให้ความรักที่มีส่งผลเสียกับการเรียน วัยรุ่นควรใช้ความรักในวัยนี้มาผลักดันเพื่อเป็นแรงใจให้กันและกัน เป็นที่ปรึกษา พูดคุยกันในทุกเรื่องจะดีกว่า โดยเฉพาะในเรื่องการเล่าเรียน เมื่อมีคนรักคอยเข้าใจ เป็นกำลังใจ ผลักดันกันและกันการเรียนก็อาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้
3. ชวนกันทำแต่เรื่องสร้างสรรค์
มีกิจกรรมมากมายที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ควรเอาเวลามาชวนกันทำแต่ในเรื่องสร้างสรรค์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองและอนาคต เช่น หากใครชอบอะไรก็ชวนกันเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั้นอาจจะเป็นการอ่านหนังสือ แลกเปลี่ยนความรู้ ความสามารถ การลงทะเบียนเรียนภาษาหรือเรียนพิเศษด้วยกัน ออกกำลังกายและเล่นกีฬา เป็นต้น
4. แบ่งเวลาใส่ใจการเรียนอย่างลงตัว
วัยรุ่นมีความรักได้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องรู้จักวางตัวอย่างดีไม่ทำให้ใครเดือดร้อนไปด้วย และห้ามทำให้มีผลกระทบกับการเรียนเป็นอันขาด ควรแบ่งเวลาใส่ใจการเรียนอย่างเหมาะสม สมมติใน 7 วัน เราอาจจะเรียนตลอด 5 วันเต็ม แต่เสาร์หรืออาทิตย์ในวันใดวันหนึ่งก็อาจจะเจอนัดเจอกันบ้างเป็นเรื่องปกติ ไปเที่ยวกินข้าว ดูหนังเหมือนคู่รักทั่วไป ส่วนอีกวันหนึ่งก็เป็นวันหยุดอยู่กับครอบครัว อ่านหนังสือและทำการบ้าน คุยโทรศัพท์หรือแชทกับคนรักบ้างพอประมาณ นอกนั้นก็แบ่งเวลาใส่ใจตัวเองเพิ่มขึ้น เท่านี้ก็จะไม่ทำให้ชีวิตในอนาคตย่ำแย่เพราะความรักเป็นเหตุแล้วค่ะ
5. ติวความรู้ความสามารถให้กัน
เด็กยุคใหม่มีความรู้ความสามารถกันมากขึ้น ดังนั้น เราอาจจะเอาเวลามานัดเจอกันในวันเสาร์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถหรือในช่วงใกล้สอบก็อาจจะมานั่งติวหนังสือเตรียมสอบให้กัน ใครเก่งหรือถนัดวิชาไหนก็สลับติวให้กันในวิชานั้นๆ ดีกว่าเอาเวลาไปเที่ยวเล่นเหลวไหล แบบนี้ย่อมทำให้อนาคตทั้งคู่ลงเอยกันอย่างสวยงามแน่นอนค่ะ
วัยรุ่นมีความรักไม่ใช่เรื่องผิด แต่จะผิดอย่างแน่นอนหากคบคนที่ไม่ดี ชวนกันทำแต่เรื่องเสียหายและกลายเป็นปัญหาตามมา ดังนั้น เด็กๆ ยุคใหม่ควรหันมาใส่ใจการเรียนไปพร้อมกันให้มากขึ้น มีรักไปพร้อมกับการเรียนได้แต่ต้องให้ความรักเป็นแรงใจผลักดันกันและกันเพื่อไปสู่จุดหมายของความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่แบบนี้จะดีกว่าเยอะเลยค่ะ

อุทาหรณ์การมีรักในวัยเรียน

1.รักในวัยเรียน อุทาหรณ์!! จากเรื่องจริงคุณแม่วัยใส โดนทำท้องแล้วทิ้ง ไปแต่งงานใหม่

 


          เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพพร้อมเรื่องราวของสมาชิกเฟสบุ๊คหญิงรายหนึ่ง เตือนใจวัยรุ่นโดยเฉพาะหญิงสาวทั้งหลายที่กำลังมีความรักในวัยเรียน ผ่านเรื่องจริงของตนที่พลาดไปตั้งท้องกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่รับการเหลียวแลจากฝ่ายชาย แถมยังจะให้ไปทำแท้ง จึงต้องกัดฟันเลี้ยงลูกเพียงลำพัง ตั้งแต่เริ่มท้องจนถึงขณะนี้ลูกอายุ 1 ขวบ 6 เดือน จนเมื่อเวลาผ่านมาอีกประมาณ 6 เดือน หลังเกิดเรื่อง อดีตคนรักของตนก็ไปทำผู้หญิงคนอื่นท้องอีกจนต้องแต่งงาน และไม่เคยกลับมาดูตนและลูกเลยซักครั้ง ทำให้เจ้าของเรื่องตัดสินใจไปฟ้องศาลเพื่อให้ชายหนุ่มคนดังกล่าวรับผิดชอบค่าเลี้ยงดูบุตร ฝ่ายชายจึงรับผิดชอบโดยการให้ค่าเลี้ยงดูบุตรเพียงเดือนละ 1 พันบาท ทั้งนี้ อยากให้เรื่องดังกล่าวเป็นอุทาหรณ์วัยรุ่นทุกคนที่กำลังมีความรักในวัยเรียน อย่าประมาทในการใช้ชีวิต เพราะหากเกิดเรื่องขึ้นแล้วอาจทำให้เสียอนาคตเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไม่รับผิดชอบ และยังทำให้พ่อแม่เสียใจ
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
สวัสดีค่ะ วันนี้ดิฉันมีข้อคิดเตือนใจวัยรุ่นที่ริรักในวัยเรียน มาเล่าเป็นประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ ฟัง ฉันเป็นซิงเกิลมัมที่อายุยังน้อย หรือเรียกง่าย ๆ ท้องเเล้วผู้ชายไม่รับนั่นแหละคะ ตั้งเเต่ท้องได้ 1 เดือนจนตอนนี้ลูก 1 ขวบ 6 เดือน ดิฉันกัดฟันเลี้ยงลูกเพียงลำพังโดยไม่เรียกร้องอะไรจากฝ่ายชายแม้แต่บาทเดียว จนเวลาผ่านมา 6 เดือนนับแต่เกิดเรื่อง มันก็ไปทำผู้หญิงท้องอีก จนแต่งงานกันไป ดิฉันไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวไม่เรียกร้อง แต่มันไม่สำนึกซักนิดยังคงทำอีก ที่ผ่านมาไปคุยบ้านฝ่ายชายเค้าไม่รับผิดชอบ ตลอดเวลาตั้งครรภ์ จนคลอด ไม่มีการติดต่อใด ๆ แถมยังจะให้ไปทำแท้งอีก พวกเขามีความสุข สร้างครอบครัวใหม่ไม่เดือดไม่ร้อน เสมือนไม่เคยทำผิด จนดิฉันไปยื่นเรื่องฟ้องศาลเพื่อขอค่าเลี้ยงดูบุตร ในเมื่อมีครอบครัวใหม่ได้ก็ต้องส่งเสียได้โดยศาลสั่งให้มีการตรวจพิสูจน์ DNA ซึ่งผลก็ออกมาเเล้วว่า ( มีความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก) เรียกง่าย ๆ ก็ลูกมันนั้นเเหละคะ จนเมื่อวานได้ มีการนัดไกล่เกลี่ยที่ศาลเรื่องค่าเลี้ยงดูบุตรมันบอกว่าให้ได้เเค่เดือนละ 1,000 บาท อยากถามซักนิดเอามาทำอะไร เก็บไว้ซื้อถุงยางเถอะนะ ลูกอีกคนทานนมหมาหรอ ถึงใช้เดือนละ 1,000 และเรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับมาโดยตลอดฝ่ายชายปิดเงียบ แม้กระทั่งเพื่อนญาติพี่น้องก็ไม่มีใครรู้ว่ามันนี่เลวขนาดนี้ ดิฉันต้องเสียอนาคตเพราะผู้ชายคนเดียวที่ไม่มีความรับผิดชอบ และมันไม่สมควรใช้ชีวิตในสังคมอย่างลอยหน้าลอยตาเช่นนี้ สมควรได้รับบทเรียนที่มันก่อขึ้นเมื่อดิฉันออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองและลูก ฝากถึงคนที่รู้จักเขาช่วยบอกให้เขามีความเป็นคน มีสำนึกคิดจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและการกระทำของตัวเองด้วยนะคะเห็นแก่เด็กที่เค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย





2. อุทาหรณ์ประสบการณ์18+ ท้องในวัยเรียน
          สวัสดีค่ะวันนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับตัวเรามาเล่าให้ฟังเผื่อจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจใครหลายๆคน เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเราเองนะคะ เมื่อตอนที่เราเรียนอยู่ ม.ต้นเรามีแฟนคนหนึ่งค่ะเขาชื่อพี่หนึ่งแล้วกันค่ะ คือตอนนั้นเราก็คบกันมาเรื่อยๆราบรื่นดี จนกระทั่งเราขึ้น ม.ปลาย พี่เขาขอมีอะไรกับเราแรกๆเราก็ไม่ยอมนะคะ แต่หลังๆเราเลยปล่อยเลยตามเลย เรามีอะไรกันบ่อยมากค่ะ แต่เราก็ป้องกันทุกครั้งตลอด จนตอนเราจะขึ้น ม.ห้า เหมือนพี่เค้าจะเบื่อเรา เลยเริ่มห่างเราไป ไม่ยอมมีอะไรกับเรา เรายอมรับว่าตอนนั้นเราเครียดนะ เราไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นอะไรกันแน่ แต่ตอนนั้นคือเราขาดเซ็กไม่ได้ แต่เรายังไม่เลิกกะเขานะจนกระทั่งเรามีสองเข้ามา เราไม่ได้คิดจะจริงจังอะไรกับเขาหรอกค่ะ แต่อย่างที่บอกไปว่าเราติดเซ็กเราเลยมีอะไรกับเขาเรื่อยๆโดยที่เราเองก็มีอะไรกับหนึ่งอยู่เรื่อยๆ แต่เรื่องที่เราตกใจมากที่สุดคือเมื่อตอนต้นเดือนเมษาที่ผ่านมาประจำเดือนเรามาไม่มา เราเริ่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เลยไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจเอง ตอนนั้นเราสั่นมากนะ เราทำอะไรไม่ถูกเลยเมื่อแถบที่ตรวจครรภ์ปรากฏ ขึ้นมาสองขีด เราร้องไห้ยุพักใหญ่ เราโทรบอกหนึ่งแต่หนึ่งกลับตัดสายเรา ส่วนสองเองก็ไม่ยอมรับ เราตัดสินใจบอกแม่เราคิดว่าแม่ต้องตบตีต่อว่าเราแน่ๆเพราะกับแม่มีกันอยู่แค่สองคน แต่แม่กลับกอดเราแล้วร้องไห้ เรารู้สึกสงสารแม่มาก แม่ถามว่าพ่อของลูกในท้องเราเป็นใคร เราไม่รู้จะบอกแม่เราว่ายังไงดี แต่แม่เรารู้มาตลอดว่าเราคบกับหนึ่งแม่เราจึงพาเราไปบ้านหนึ่งแต่พ่อแม่ของหนึ่งกลับไม่ยอมรับและให้เงินเรามาทำแท้ง ส่วนสองไม่ต้องพูดถึงเลยเขาหายไปตั้งแต่วันนั้น เราตั้งใจจะไปทำแท้งแต่แม่กลับห้ามเราพร้อมบอกเราว่าแม่เลี้ยงเรามาจนโตจะเลี้ยงหลานเราอีกสักคนจะเป็นไรไป เราร้องไห้และกอดกับแม่อยู่แค่สองคน เราสัญญาว่าเราจะเลี้ยงลูกของเราให้ดีที่สุด สุดท้ายนี้เราอยากบอกทุกคนว่าไม่มีใครที่จะรักเราเท่าพ่อแม่อีกแล้ว
ปล.ตอนนี้เราอยู่มอหกและเรากำลังตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาลัยให้แม่ภูมิใจให้ได้จริงๆครูที่โรงเรียนเราเองก็รู้เรื่องนี้น ระหว่างที่เราไปคลอดลูกเพื่อนที่ห้องก็ช่วยตามงานตลอด ขอบคุนเพื่อน ม6018 ทุกคนค่ะ ตอนนี้เราคลอดลูกได้เกือบเดือนแล้ว เราคลอดก่อนกำหนดอ่ะ เพราะหมอบอกเราเดินบ่อย ขอบคุนทุกคนค่ะที่อ่านมาถึงตรงนี้ ขอบคุณจริงๆ





3. อุทาหรณ์วัยทีน
          นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นหญิงคนหนึ่งที่แม่พามาขอความช่วยเหลือจากบ้านพักเด็กฯเนื่องจากตั้งท้องในวันเรียน เธอตั้งท้องได้ 3 เดือนกับแฟน ที่อยู่โรงเรียนเดียวและดูเหมือนจะรักกันมาก ถึงขนาดไม่มีใครสามารถแยกออกจากันได้ แม้กระทั่งคำเตือนของพ่อแม่ที่พร่ำสอน จนกระทั่งการของร้องไห้ห่างจากการคบกันเพราะเป็นห่วงลูกสาว และทุกวิธีการที่ตักเตือนลูกสาว เพราะว่ารักเท่านั้นเอง แต่…อย่างที่เขาว่ากันความรักทำไห้คนตาบอดจริง ๆ ในที่สุด เด็กสาวคนนี้ยอมทุกอย่างเพียงเพื่อจะมัดใจแฟนตัวเองไม่ไห้มีคนอื่น เธอจึงมีเพศสำพันธุ์กับแฟนเธอจนนับครั้งไม่ถ้วนโดยที่พ่อแม่มีรู้เรื่องอะไรเลย ในที่สุดความพลั้งพลาดก็เกิดขึ้นกับเธอ เธอตั้งท้องได้ 3 เดือน ไม่รู้ว่าจะบอกใคร คนที่เธอไว้ใจที่สุดก็คือแฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง แต่ คำตอบที่ได้รับมาจากแฟนของเธอคือ….เป็นไปไม่ได้หรอก เธอท้องกับใคร…...นั่นคือความจริง ที่เด็กสาวคนนี้ได้พบกับตัวเองสำนึกในเบื้องต้นที่เธอได้รับรู้นั่นก็คือ คำเตือนของพ่อแม่ เธอเครียด หมกมุ่น และอยากตาย ไม่รูจะทำอย่างไรกับชีวิตดี คิดจะทำแท้งก็กลัว จะบอกแม่ก็กลัว เธอกลัวไปหมด มืดมนทุกหนทาง แต่ที่สุดแล้วความอบอุ่นความรักของพ่อแม่ ทำไห้เธอบอกทุกปัญหาที่เกิดขึ้น นับว่าเธอโชคดี ที่พ่อแม่เข้าใจ ยอมรับในปัญหาที่เกิดขึ้น และพยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการไห้ฝ่ายชายเข้ามารับผิดชอบ โดยทีมช่วยเหลือของบ้านพักเด็ก ฯ ซึ่งเป็นผู้ติดต่อฝ่ายชายคือผู้ปกครองของฝ่ายชายนั่นเอง มาพบเพื่อเจรจาในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ เหมือนถูกฟ้าผ่า คำตอบที่ทีมงานและเด็กสาวคนนั้นได้ได้ยินคือ ผมไม่แน่ใจว่าเด็กเป็นลูกผมหรือเปล่า เพราะเธออาจจะนอนกับคนอื่นอีกก็ได้ ทีมงานสังเกตเห็นหน้าสาวคนนั้น เธอหน้าซีดจนไม่มีสีเลือด ท่านผู้อ่านคงเข้าใจในความรู้สึกของเธอนะครับ พ่อแม่ของเธอก็พูดอะไรไม่ออก ซึ่งในที่สุดทางทีมงานก็สามารถช่วยเหลือเด็กสาวคนนั้นได้ในระดับหนึ่งซึ่งต้องอาศัยกฎหมายเข้ามาช่วยในการดำเนินการที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ รู้ทันปัญหาของการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน หรือวัยที่ยังไม่พร้อมแนวโน้มของการเกิดปัญหาเมื่อมีเพศสัมพันธ์ คือการตั้งท้องและความไม่รับผิดชอบของฝ่ายชาย ที่เสียใจที่สุดคือกลายเป็นฝ่ายหญิงที่ไม่มีคุณค่าเลย ที่สุดของเรื่องไม่มีใครที่ไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะตัวของเด็กสาวคนนี้เองที่เจ็บปวดที่สุด คือ
– เธอต้องอุ้มท้องเพียงคนเดียว
– เธอไม่ได้เรียนต่อ
– เธออายเพื่อน
เรื่องจึงเป็นข้อคิดดีสำหรับน้องๆเพื่อนๆ พ่อแม่ผู้ปกครองนะครับว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่พร้อมบทสรุปว่ามันเป็นอย่างไร
ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จาก : สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย